ความผิดฐานยักยอกทรัพย์
ความผิดฐานลักทรัพย์กับความผิดฐานยักยอก ข้อแตกต่าง ที่สำคัญก็คือจะต้องพิจารณาว่าทรัพย์อยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิดหรือไม่ เพราะความผิดฐานลักทรัพย์เป็นเรื่องการแย่งการครอบครอง แต่ถ้าครอบครองอยู่ที่ผู้กระทำความผิดแล้วเบียดบังโดยทุจริตก็เป็นเรื่องยักยอก การได้มาซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต้องเป็นการยึดทรัพย์นั้นโดยเจตนายึดถือเพื่อตน ถ้าเป็นการยึดถือแทน ผู้อื่นและมีการเอาทรัพย์นั้นไปโดยทุจริต จะเป็นไปได้ก็แต่ความผิดฐานลักทรัพย์ อย่างเช่น
ลูกจ้างขับรถลอบสูบน้ำมันเบนซินไปจากถังน้ำมันของรถ ถือว่าเป็นความผิดฐานลักทรัพย์เพราะลูกจ้างยังไม่ได้ครอบครองน้ำมัน (ฎีกาที่ 229/2510)
2 ทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย คำว่า “ทรัพย์”ในเรื่องยักยอกดังได้กล่าวไว้แล้วว่า แม้จะใช้คำว่าทรัพย์เช่นเดียวกับความผิดฐานลักทรัพย์ แต่ทรัพย์ตามมาตรา 352 นี้เป็นอสังหาริมทรัพย์ก็ได้
โจทก์ร่วมซื้อบ้านเลขที่ 308 จากการขายทอดตลาด จำเลยเองก็ทราบ เมื่อจำเลยอาศัยอยู่ในบ้านเลขที่308 ก็ถือว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองบ้านดังกล่าว การที่จำเลยบอกโจทก์ร่วมว่าบ้านที่จำเลยอาศัยอยู่ไม่ใช่บ้านเลขที่ 308 แต่เป็นบ้านเลขที่ 121 ของ ส. นั้นเห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ร่วมรื้อถอนบ้านเลขที่ ๓๐๘ เพื่อที่จำเลยจะได้รับประโยชน์ การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการเบียดบังบ้านเลขที่ 308 เป็นของตนหรือผู้อื่นโดยทุจริตจึงเป็นความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 (ฎ.268/2536) (จำเลยเป็นผู้อาศัยและมิได้มีการกระทำใด ๆ ให้กรรมสิทธิ์ในบ้านเป็นของตน)
3 เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม การยักยอกเป็นเหตุให้ได้ไป ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ คงไม่ต้องหมายถึงเบียดบังแล้วจดทะเบียนเป็นของตน เพราะความผิดฐานยักยอกผู้กระทำความผิดไม่มีทางได้กรรมสิทธิ์ เนื่องจากเป็นการได้ทรัพย์สินมาโดยผิดกฎหมาย เว้นแต่จะครอบครองจนกระทั่งครบระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา๑๓๘๓ ซึ่งเป็นการเบียดบังโดยเจตนาที่จะแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบเพื่อเอาทรัพย์ซึ่งอยู่ในความครอบครองนั้นเป็นของตน ดังนั้น ผู้ใดครอบครองอสังหาริมทรัพย์และมีเจตนา ทุจริตเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตน ย่อมเป็นความผิดฐานยักยอกได้
4 ต้องมีเจตนาทุจริต คือการแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
กรณียังมีการโต้แย้งกันเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาท การที่จำเลยทั้งสองไม่คืน อุปกรณ์ให้โจทก์ร่วม เพราะมีหลักฐานเชื่อได้ว่าอุปกรณ์บางส่วนเป็นของ ม. และ ม. เป็นเจ้าของบริษัทจำเลยที่ 1 ด้วย จำเลยทั้งสองจะคืนให้เมื่อโจทก์ร่วมใช้ค่าติดตั้งในการดำเนิน กิจการเคเบิ้ลทีวีร่วมกันในนามของ ว. จึงเป็นการใช้สิทธิยึดหน่วงอย่างหนึ่ง การกระทำของ
จำเลยทั้งสองขาดเจตนาทุจริตไม่มีความผิดฐานยักยอก (ฎ.234/2537)
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 “ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ถ้าทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิด เพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้กระทำความผิดเก็บได้ ผู้กระทำ ต้องระวางโทษแต่เพียงกึ่งหนึ่ง
ปรึกษากฎหมายโทร
ได้ที่ 080-9193691 , 02-0749954
หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
สาขาเชียงใหม่ โทร 080-3955536 แอดไลน์ @cly.cmi
หรือ คลิก https://lin.ee/w7Ikc1z
สาขาขอนแก่น โทร 095-9567735 แอดไลน์ @cly.kkn
หรือ คลิก https://lin.ee/vbQlVcap
www.closelawyer.co.th
ความผิดฐานยักยอกทรัพย์
