ในการดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญา สามารถ มอบอำนาจ ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ดำเนินคดีแทนก็ย่อมได้ แต่จำต้องระบุให้ชัดเจนถึงการมอบอำนาจอย่างใด ๆ ไว้
กรณีที่ผู้เสียหายหรือที่เรียกว่าโจทก์ไม่สามารถไปจัดการดำเนินคดีด้วยตนเองได้ ตามกฎหมายนั้นการมอบอำนาจก็ถือเสมือนเป็นการกระทำแทนผู้เสียหายหรือโจทก์เอง การใด ๆ ที่ผู้รับมอบอำนาจได้ดำเนินการไปตามการมอบอำนาจ ย่อมมีผลผูกพันถึงผู้มอบอำนาจด้วยตัวเอง แต่ถึงอย่างไรการมอบอำนาจดำเนินคดีนั้น ผู้รับมอบอำนาจย่อมสามารถเบิกความในชั้นพิจารณาของศาลแทนตัวโจทก์ได้ด้วย จะสื่อให้เข้าใจง่าย ๆ หมายถึงตัวความไม่จำเป็นต้องไปศาลเลยหากมีผู้รับมอบอำนาจดำเนินการแทนให้แล้ว
แต่หนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีนั้น จำเป็นที่จะต้องระบุให้ชัดเจนถึงการใด ๆ ที่ได้มอบหมายให้ผู้รับมอบอำนาจทำ มิเช่นนั้นผู้รับมอบอำนาจไม่สามารถกระทำการแทนได้เนื่องจากขาดอำนาจดำเนินการแทน
ตัวอย่าง นาย ก มอบอำนาจให้นาย ข สามารถยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแทนตนเองได้ รวมถึงชำระเงินค่าธรรมเนียมแทนนาย ก ได้ด้วย ในหนังสือมอบอำนาจระบุไว้แค่นั้นในการยื่นต่อศาล ปรากฏว่านาย ข ในฐานะผู้รับมอบอำนาจได้ชำระเงินเกินแก่ศาล จึงจำเป็นต้องดำเนินเรื่องขอให้ศาลคืนเงินให้แก่นาย ข แต่นาย ข ไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากหนังสือมอบอำนาจมิได้ระบุถึงนาย ข สามารถรับเงินแทนนาย ก ในการดังกล่าวได้
อ้างถึงคำพิพากษาฎีกาที่ 5410/2546 พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 74 มีเจตนารมณ์ให้ดำเนินคดีเพื่อลงโทษกรรมการหรือผู้จัดการของนิติบุคคลที่นิติบุคคลนั้นกระทำความผิดด้วย โดยให้ถือว่าร่วมกระทำผิดกับนิติบุคคลเป็นตัวการด้วยกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 แต่ความเป็นนิติบุคคลของบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากจำเลยที่ 2 ที่มีฐานะเป็นกรรมการ ประกอบกับความรับผิดในทางอาญาเป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้กระทำผิด ดังนั้น เมื่อหนังสือมอบอำนาจให้ร้องทุกข์ระบุให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 เท่านั้น จึงไม่มีผลที่จะให้ถือได้ว่าโจทก์ร่วมร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2 ด้วย แม้ว่าในขณะที่ไปร้องทุกข์โจทก์ร่วมยังไม่รู้จักชื่อกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 ว่าเป็นจำเลยที่ 2 แต่ก็มีสิทธิที่จะร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่กรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 โดยเพียงแต่ระบุตำแหน่งไว้ได้ กรณีจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2 ภายในอายุความแล้ว