โครงการสร้างบ้าน หรือคอนโดไม่ทันกำหนด ถือว่าเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้องคืนเงินให้แก่ผู้จะซื้อทั้งหมด
ในการทำสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์ไม่จะเป็นบ้าน หรือคอนโดมิเนียม ซึ่งมีราคาสูงมาก ทำให้ผู้จะซื้อต้องทำการแบ่งจ่ายหรือแบ่งชำระเป็นงวดๆ โดยทางกฎหมายสามารถแบ่งแยกเงินที่ชำระได้เป็น 3 กรณี ดังนี้
1. เงินจอง หมายถึง เงินที่จ่ายให้ก่อนที่จะตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขาย โดยถือเป็นหลักประกันว่าคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะเข้าทำสัญญากันต่อไปในอนาคต ซึ่งในกรณีฝ่ายโครงการหรือผู้จะขายเป็นฝ่ายผิดสัญญา ผู้จะซื้อมีสิทธิได้รับเงินจองคืนเต็มจำนวน
2. เงินมัดจำ(เงินทำสัญญา) หมายถึง เป็นเงินที่คู่สัญญาตกลงที่จะให้กันในวันทำสัญญา
โดยให้ไว้เพื่อเป็นประกันว่าผู้จะซื้อจะปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขาย ทั้งนี้ในกรณีฝ่ายโครงการหรือผู้จะขายเป็นฝ่ายผิดสัญญา ผู้จะซื้อมีสิทธิได้รับเงินมัดจำคืนเต็มจำนวน
3. เงินดาวน์ หมายถึง เงินที่คู่สัญญาตกลงที่จะแบ่งจ่ายชำระเป็นงวดๆ ตามที่กำหนด เพื่อเป็นการชำระเงินตามสัญญาจะซื้อจะขายบางส่วน เนื่องจากการที่เงินดาวน์ไม่ได้มีลักษณะเป็นมัดจำ เพราะคู่สัญญาไม่ได้ชำระกันในวันทำสัญญา แต่กฎหมายยังคงถือว่าการชำระเงินดาวน์เป็นส่วนหนึ่งในการชำระราคาทรัพย์สินที่ซื้อขายกัน ดังนี้แม้ผู้จะซื้อเป็นฝ่ายผิดสัญญาเอง ผู้จะซื้อยังคงมีสิทธิได้รับเงินดาวน์คืนทั้งหมด
ซึ่งหากฝ่ายผู้จะซื้อได้ชำระเงินครบถ้วน และในสัญญาจะซื้อจะขายได้กำหนดวันส่งมอบ หรือวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้าน หรือคอนโดมิเนียมไว้อย่างชัดเจน แต่ปรากฏว่าทางโครงการกลับส่งมอบบ้านล่าช้า หรือเลยกำหนดวันที่ตกลงจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันเอาไว้ในสัญญา ย่อมถือได้ว่าทางฝ่ายผู้จะขายเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้องคืนเงินที่ผู้จะซื้อชำระคืนไปแล้วทั้งหมด
เนื่องมาจากสัญญาจะซื้อจะขายบ้านหรือคอนโดมิเนียมเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งคู่สัญญาต่างมีหน้าที่ที่จะต้องชำระหนี้ต่อกัน หากปรากฏว่าผู้จะซื้อได้ชำระเงินไปแล้วทั้งหมด แต่เมื่อถึงกำหนดระยะเวลาที่ตกลงกันทางโครงการยังไม่พร้อมที่จะปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาตอบแทน ย่อมถือว่าโครงการเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต่างฝ่ายต่างต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม โครงการจะต้องคืนเงินที่ผ็จะซื้อได้ชำระไปแล้วทั้งหมด
คำพิพากษาฎีกาที่ 6474/2541
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายกรรมสิทธิ์ห้องชุดจากจำเลยตามสัญญาฉบับพิพาท ในราคา 4,615,394 บาท และโจทก์ชำระเงินให้จำเลยในวันทำสัญญาเป็นเงินค่าจอง 50,000 บาท และค่างวดอีก 5 งวด คืองวดเดือนมกราคม 2538ถึงเดือนพฤษภาคม 2538 เป็นเงิน 340,000 บาท หลังจากนั้นโจทก์ผ่อนชำระให้แก่จำเลยในงวดเดือนมิถุนายน 2538 ถึงเดือนมกราคม 2539 อีก 8 งวด เป็นเงิน365,056 บาท รวมเป็นเงินที่โจทก์ชำระแก่จำเลยทั้งสิ้น 755,056 บาท และโจทก์บอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายกรรมสิทธิ์ห้องชุดดังกล่าวต่อจำเลยแล้ว ตามสัญญาจะซื้อจะขายกรรมสิทธิ์ห้องชุดระบุว่า ผู้จะซื้อต้องชำระเงินในระหว่างการก่อสร้างอาคารชุดตามเวลาที่กำหนดไว้ และผู้จะขายสัญญาว่าจะทำการก่อสร้างอาคารชุดให้เสร็จโดยเร็วที่สุด ซึ่งแสดงว่าสัญญาจะซื้อจะขายกรรมสิทธิ์ห้องชุดเป็นสัญญาต่างตอบแทน การที่จำเลยหยุดก่อสร้างตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2538 ถึงเดือนกันยายน 2539 เป็นระยะเวลา 1 ปีเศษ โดยจำเลยไม่เคยมีหนังสือแจ้งความคืบหน้าการก่อสร้าง ถือได้ว่าจำเลยมิได้ก่อสร้างอาคารในระหว่างเวลาที่โจทก์ผ่อนชำระราคา กรณีจึงต้องถือว่าจำเลยตกเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาต่อจำเลยได้
ปรึกษากฎหมายโทร 080-9193691 , 02-0749954
หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
สาขาเชียงใหม่ โทร 080-3955536 แอดไลน์ @closelawyercmi
หรือ คลิก https://lin.ee/Zu2JmNU
โครงการสร้างบ้าน หรือคอนโดไม่ทันกำหนด ถือว่าเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้องคืนเงินให้แก่ผู้จะซื้อทั้งหมด