การจัดที่ดินเพื่อเกษตรกร ส.ป.ก. ได้ดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยการนำที่ดินของรัฐ และที่ดินที่จัดซื้อจากเอกชนนำมาจัดให้กับเกษตรกรผู้ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง หรือมีที่ดินเล็กน้อยไม่เพียงพอแก่การครองชีพ ได้เข้าทำประโยชน์ เช่า หรือเช่าซื้อ โดยในการจัดที่ดินดังกล่าว คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (คปก.) ได้ออกระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคัดเลือกเกษตรกร ตามระเบียบ คปก. ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคัดเลือกเกษตรกร ซึ่งจะมีสิทธิได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2538 และกำหนดให้การคัดเลือกเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินในแต่ละท้องที่ อยู่ในอำนาจการพิจารณาของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัด
เมื่อทราบถึงการได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินที่ดินประเภท ส.ป.ก. ในเเบื้องต้นแล้ว หากข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป หากเป็นกรณีผู้ซึ่งมิได้มีสิทธิในที่ดิน ส.ป.ก. นั้น ไม่ว่าจะได้เข้าครอบครองที่ดิน ส.ป.ก. โดยวิธีการซื้อขายกันเอง หรือเช่าต่อจากผู้ที่มีสิทธิในที่ดิน ส.ป.ก. และบุคคลดังกล่าวได้ทำการปลูกไม้ยืนต้น เช่น ต้นยางพารา ต้นสัก หรือพืชเศรษฐกิจอื่นๆ ที่เป็นไม้ยืนต้น แต่เกิดข้อพิพาทขึ้น การที่จะให้บุคคลใด ๆ ให้ต้องรับผิดในการละเมิดที่ได้กระทำต่อไม้ยืนต้นของตน เช่นมีคนมาตัดไม้ยืนต้นของตน กรณีเช่นนี้ ผู้ที่เข้าทำการปลูกไม้ยืนต้นดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน ถือเป็นผู้เสียหายผู้ถูกโต้แย้งสิทธิ และฟ้องร้องต่อศาล “ ไม่ได้ ”
เมื่อไม้ยืนต้นถือเป็นส่วนควบกับที่ดินที่ไม้นั้นขึ้นอยู่ จึงมีผลทำให้ไม้ยืนต้นที่ได้ทำการปลูกลงในที่ดิน ส.ป.ก. โดยบุคคลที่ได้เข้าทำการปลูกโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้ไม้ยืนต้นดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินโดยผลของกฎหมายตามหลักส่วนควบผู้ครอบครองที่ดิน ส.ป.ก. ผู้นั้นไม่ใช่ผู้ถูกโต้แย้งสิทธิ จึงไม่มีสิทธินำประเด็นข้อพิพาทนี้มาฟ้องร้องเป็นคดีต่อศาลได้
อ้างถึงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๓๑/๒๕๖๓ ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน สิทธิกรครอบครองและ
กรรมสิทธิ์ในที่ดินจึงเป็นของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แม้ ค.จะได้ทำเรื่องขอกระจายสิทธิที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ แต่สำนักปฏิรูปที่ดินจังหวัดตรังก็ยังมิได้ออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินให้แก่โจทก์ จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท
ต้นเทียมและต้นยางพาราเป็นไม้ยืนต้น เมื่อโจทก์ปลูกลงในที่ดินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน ต้นเทียมและต้นยางพาราดังกล่าวจึงตกเป็นส่วนควบของที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของต้นเทียมและต้นยางพารา จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันตัดต้นเทียมและต้นยางพารา โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้ถูกโต้แย้งสิทธิที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้รับผิดในมูลละเมิดตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๕๕
ปรึกษากฎหมายโทร📞 080-9193691,☎️ 02-0749954 หรือ แอดไลน์ @closelawyer
สาขาเชียงใหม่ โทร 080-3955536 ไลน์ @closelawyercmi